วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

IEEE 802.7

1. อภิธานศัพท์ (Glossary)
การสื่อสารบรอดแบนด์ (Broadband Communications)
            การสื่อสารบรอดแบนด์หรือการสื่อสารแบบแถบความถี่กว้างเป็นคำที่ใช้ทั้งในระบบสื่อสารโทรคมนาคม และระบบสื่อสารข้อมูลคอมพิวเตอร์เพื่อเรียกกลุ่มของเทคโนโลยีที่ใช้แถบความถี่กว้างในการสื่อสารหรือใช้ช่องสัญญาณสื่อสารข้อมูลที่มีความสามารถในการส่งข้อมูลปริมาณมากมีลักษณะการใช้งานช่องสัญญาณสื่อสารเพียงหนึ่งช่องหรือหลายช่องสัญญาณได้พร้อมกัน โดยทั่วไปแล้วเทคโนโลยีบรอดแบนด์มีความสามารถในการส่งข้อมูลแบบดิจิทัลด้วยอัตราการส่งข้อมูลความเร็วสูง และสามารถให้บริการสื่อสารข้อมูลได้หลายรูปแบบ เช่นทั้งภาพและเสียงพร้อมกัน

การบริการบรอดแบนด์ (Broadband Services)
             การให้บริการสื่อสารด้วยอัตราการส่งข้อมูลความเร็วสูง และสามารถรองรับ การส่งข้อมูลปริมาณมาก โดยรูปแบบการให้บริการสื่อสารข้อมูล ได้แก่ เสียง ภาพ วีดิทัศน์ ข้อมูลอักษร ตัวเลข หรือข้อมูลทุกประเภทดังกล่าวพร้อมกันในลักษณะของสื่อประสม บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงคือรูปแบบหนึ่งของบริการบรอดแบนด์ เป็นต้น

การเข้าถึงบรอดแบนด์ (Broadband Access)
             ความสามารถของอุปกรณ์สื่อสารที่ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อเข้ากับระบบสื่อสารทั้งโทรคมนาคมและคอมพิวเตอร์เพื่อใช้บริการรูปแบบต่างๆ เช่น อินเทอร์เน็ต เสียง ภาพ วีดิทัศน์ การส่งข้อมูลความเร็วสูงหรือข้อมูลในลักษณะสื่อประสมได้

เครือข่ายบรอดแบนด์ (Broadband Network)
             ระบบเครือข่ายโทรคมนาคมหรือเครื่อข่ายสื่อสารข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นตัวกลางที่สามารถให้บริการบรอดแบนด์ให้แก่ผู้ใช้ที่มีการเชื่อมต่อกับระบบผ่านทางอุปกรณ์การเข้าถึง ซึ่งบนเครือข่ายดังกล่าวสามารถส่งข้อมูลทุกประเภทด้วยความเร็วสูง โดยเทคโนโลยีเครือข่ายบรอดแบนด์มีจุดเด่นในด้านความสามารถที่จะจัดสรรคุณภาพการให้บริการให้แก่ผู้ใช้แตกต่างกันไปตามความต้องการของผู้ใช้แต่ละราย

2. บทคัดย่อ

             การสื่อสารบรอดแบนด์หรือการสื่อสารแบบแถบความถี่กว้างใช้ในการเรียกระบบสื่อสารทั้งในสาขาโทรคมนาคมและสาขาสื่อสารข้อมูลคอมพิวเตอร์ ที่มีความสามารถในการให้บริการสื่อสารข้อมูลดิจิทัลด้วยอัตราการส่งข้อมูลความเร็วสูง หรือข้อมูลที่มีปริมาณมากมีความสามารถในการสื่อสารข้อมูลประเภทต่างๆ ได้มากกว่าหนึ่งชนิดเช่น เสียง ภาพ วีดิทัศน์ หรือข้อมูลอักษรในเวลาเดียวกันในลักษณะที่เรียกว่าสื่อประสม ระบบสื่อสารบรอดแบนด์ถูกใช้เพื่อเปรียบเทียบให้ทราบถึงความแตกต่างจากระบบสื่อสารแถบความถี่แคบ ทั้งในด้านการใช้งานแถบความถี่ของสัญญาณที่กว้างกว่า อัตราการส่งข้อมูลด้วยความเร็วที่สูงกว่าหรือปริมาณข้อมูลมากกว่า และการนำไปประยุกต์ใช้ สำหรับรองรับในการให้บริการสื่อสารข้อมูลประเภทต่างๆได้หลายรูปแบบ เทคโนโลยีการสื่อสารบรอดแบนด์ สามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือ แบบส่งข้อมูลผ่านสายนำสัญญาณชนิดต่างๆ และแบบไร้สายผ่านคลื่นวิทยุของเทคโนโลยีต่างๆ เช่น ไอเอสดีเอ็น เอทีเอ็ม บริการบรอดแบนด์ผ่านสายไฟฟ้า โซเน็ตและเอสดีเอช ไวแมกซ์ รวมทั้งการนำเทคโนโลยีการสื่อสารบรอดแบนด์ไปประยุกต์ใช้งานเพื่อให้บริการต่างๆ แก่ผู้ใช้งาน

3. บทนำ(Introduction) 

             การสื่อสารบรอดแบนด์หรือการสื่อสารแถบความถี่กว้าง (Broadband communications) คือการสื่อสารที่มีการใช้แถบความถี่หรือสเปกตรัมที่ใช้ในการสื่อสารที่มีช่วงความถี่กว้าง (Broad or wide bandwidth) ในการส่งและรับข้อมูล ข้อมูลส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบข้อมูลดิจิทัลและมีความต้องการอัตราความเร็วในการส่งข้อมูลสูง (High speed data) หรือเป็นข้อมูลที่มีปริมาณมากและมีการส่งข้อมูลโดยใช้ช่องความถี่หรือช่องสื่อสารหลายช่องสัญญาณพร้อมกันเพื่อเพิ่มอัตราการส่งข้อมูลความเร็วสูง และมีปริมาณมากโดยใช้แถบความถี่ในการสื่อสารที่อยู่ข้างเคียงกัน ในการสื่อสารผ่านแถบความถี่เหล่านี้สามารถใช้สำหรับคู่สนทนาเพียงสองรายหรืออาจเป็นการใช้บริการร่วมกันโดยผู้ใช้หลายราย
             การสื่อสารบรอดแบนด์มักถูกเปรียบเทียบกับการสื่อสารในแบบแถบความถี่แคบ (Narrowband communications) ซึ่งสามารถส่งข้อมูลได้ในปริมาณที่น้อยกว่าหรือด้วยความเร็วในการส่งข้อมูลที่ช้ากว่าเมื่อเปรียบเทียบกับระบบสื่อสารบรอดแบนด์ โดยการสื่อสารในแถบความถี่แคบมักจะหมายถึงการสื่อสารโทรคมนาคมของข้อมูลเสียงหรือข้อมูลดิจิทัลผ่านช่องสัญญาณเสียงของระบบโทรศัพท์แบบพื้นฐาน (Plain old telephone system: POTS) ซึ่งข้อมูลเสียงจะมีการใช้แถบความถี่ในการส่งสัญญาณแบบแอนะล็อกที่มีความกว้างของแถบความถี่เพียง ๔ กิโลเฮิรตซ์ และเทคโนโลยีการใช้โมเด็มเรียกเลขหมายผ่านสายโทรศัพท์ (Dial-up modem) ในการส่งข้อมูลดิจิทัลที่มีอัตราเร็วในการสื่อสารข้อมูลสูงสุดที่ ๕๖ กิโลบิตต่อวินาที
             ข้อมูลที่สื่อสารผ่านการสื่อสารบรอดแบนด์มักเป็นข้อมูลประเภทสื่อประสม (Multimedia) ซึ่งได้แก่การสื่อสารข้อมูลเสียง (Voice) ภาพนิ่ง (Still picture) ภาพเคลื่อนไหวหรือวิดีทัศน์ (Motion picture or video) และอักษรหรือข้อความทั่วไป (Text data) ซึ่งข้อมูลสื่อประสมเช่นข้อมูลวีดิทัศน์ที่ถูกบีบอัดแล้ว (Compressed video) มีความต้องการใช้แบนด์วิดท์หรือความกว้างแถบความถี่ (Bandwidth) ที่สามารถรองรับการสื่อสารข้อมูลในระดับหลายร้อยเมกกะบิตต่อวินาทีหรือมากกว่านั้น ในทางสาขาสื่อสารข้อมูลคอมพิวเตอร์ (Data communications) เรียกระบบสื่อสารที่สามารถถ่ายโอนข้อมูลข้ามเครือข่ายได้มากกว่าหนึ่งชนิดว่าเป็นระบบสื่อสารข้อมูลบรอดแบนด์เช่นเดียวกันนอกจากนั้นยังรวมไปถึงการสื่อสารที่เชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตด้วยสัญญาณดิจิทัลที่เรียกว่าการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ (Broadband Internet access)
             เทคโนโลยีเครือข่ายบรอดแบนด์ถูกออกแบบเพื่อให้สามารถจัดสรรคุณภาพของบริการ หรือที่เรียกว่าคุณภาพของการบริการ (Quality of Service: QoS)ซึ่งทำให้เครือข่ายบรอดแบนด์สามารถแบ่งระดับความสำคัญ(Priority)ของข้อมูลที่ถูกส่งผ่านเครือข่ายได้ตามความต้องการของการใช้งานและความต้องการของผู้ใช้งานเครือข่าย หรือตามคุณสมบัติของข้อมูลประเภทต่างๆที่มีความต้องการใช้ทรัพยากรหรือการตอบสนองของเครือข่ายที่แตกต่างกัน เช่น อัตราความเร็วในการส่งข้อมูลขั้นต่ำ ค่าหน่วงเวลาที่ยอมรับได้ในการส่งข้อมูล และอัตราการสูญเสียที่เกิดจากความผิดพลาดในการสื่อสารข้อมูลที่สามารถยอมรับได้
             ระบบโทรคมนาคมและระบบสื่อสารข้อมูลโดยทั่วไปถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้งานเฉพาะอย่าง เช่นระบบโทรศัพท์จะมีการใช้งานเพื่อการส่งข้อมูลข่าวสารในรูปของเสียงเท่านั้น ซึ่งใช้การถ่ายโอนข้อมูลแบบสลับวงจร (Circuit switching) ระบบโทรสาร (Telegraph) ซึ่งใช้สำหรับส่งข่าวสารในรูปแบบข้อความอักษรจะใช้เพื่อส่งข้อความสั้นๆได้เพียงอย่างเดียวแต่เมื่อมีการพัฒนาเทคโนโลยีการส่งข้อมูลแบบดิจิทัล ข้อมูลข่าวสารรูปแบบต่างๆ ทั้งเสียงและข้อความได้ถูกแปลงให้กลายเป็นข้อมูลดิจิทัลซึ่งมีหน่วยย่อยของข้อมูลเป็นเลขฐานสอง คือข้อมูลข่าวสารถูกแทนด้วยศูนย์หรือหนึ่งการแปลงข้อมูลประเภท แอนะล็อกเช่น เสียง ให้เป็นข้อมูลดิจิทัลจะมีการสูญเสียคุณภาพของข้อมูลต้นฉบับไปบางส่วนแต่เป็นที่ยอมรับได้
             หลังจากนั้นจึงเกิดการพัฒนาเทคโนโลยีการถ่ายโอนข้อมูลแบบสลับกลุ่ม (Packet switching) ทำให้สามารถส่งข้อมูลดิจิทัลเป็นกลุ่มย่อยหรือมีขนาดจำกัดที่เกิดจากผู้ใช้หลายคนผ่านช่องสัญญาณสื่อสารเดียวกันได้ โดยที่มีการผลัดกันส่งเป็นการประหยัดการใช้ช่องสัญญาณสื่อสาร ทำให้การใช้งานเครือข่ายมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งเกิดการสร้างระบบสื่อสารเพียงระบบเดียว ที่สามารถใช้งานสื่อสารได้หลายรูปแบบ เพื่อเป็นการประหยัดการลงทุนติดตั้งระบบสื่อสารหลายประเภทที่ต้องติดตั้งแยกจากกัน หรือในอีกนัยหนึ่งคือมีความต้องการรวมเทคโนโลยีถ่ายโอนข้อมูลแบบสลับกลุ่มข้อมูลเข้ากับการถ่ายโอนข้อมูลแบบสลับวงจร (Circuit switching) ให้อยู่บนระบบเครือข่ายเดียวกัน
             แรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีบรอดแบนด์ ได้แก่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีระบบสื่อสารผ่านเส้นใยนำแสง (Optical fiber transmission systems) ที่ทำให้มีค่าใช้จ่ายที่ถูกลงในการส่งข้อมูลปริมาณมาก รวมทั้งเทคโนโลยีสื่อสารไร้สายที่สามารถสื่อสารข้อมูลความเร็วสูงได้ทำให้เกิดการใช้งานบริการบรอดแบนด์มากกขึ้นเนื่องจากสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการวางสายเคเบิล
              แรงผลักดันที่สองที่สำคัญก็คือ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของวงจรไมโครอิเล็กทรอนิกส์ ที่สามารถสร้างอุปกรณ์สำคัญ เช่นวงจรรวมสำหรับประมวลผลสัญญาณดิจิทัล (Digital signal processing integrated circuit) ที่มีราคาถูกทำให้เกิดชุมสาย (Switching office) และอุปกรณ์ของผู้ใช้ (Subscriber equipment) ที่มีราคาถูกแต่สามารถส่งข้อมูลความเร็วสูงได้ และแรงผลักดันอีกประการหนึ่งคืออุปกรณ์ฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ที่สามารถแสดงผลหรือส่งผ่านข้อมูลความเร็วสูงเช่นกล้องโทรทัศน์และจอภาพความละเอียดสูง ทำให้เกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีรูปแบบใหม่ ๆ นอกเหนือไปจากการสื่อสารข้อมูลเสียงเพียงอย่างเดียวและแรงผลักดันในกลุ่มสุดท้าย คือ ความก้าวหน้าทางซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่ใช้งานที่สามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมาก ๆ ในระยะเวลาสั้นๆได้

4. เทคโนโลยีการสื่อสารบรอดแบนด์

             เทคโนโลยีการสื่อสารบรอดแบนด์ได้มีการพัฒนาขึ้นมาหลายรูปแบบทั้งแบบส่งข้อมูลผ่านสายนำสัญญาณและแบบส่งข้อมูลผ่านช่องสัญญาณไร้สาย สามารถแบ่งกลุ่มของเทคโนโลยีบรอดแบนด์ตามสื่อที่ใช้ในการส่งผ่านข้อมูลและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง แสดงดังนี้

             4.1 เทคโนโลยีสื่อสารบรอดแบนด์ผ่านสายนำสัญญาณ
             ก) บีไอเอสดีเอ็นหรือไอเอสดีเอ็นแถบกว้าง (Broadband ISDN: B-ISDN) เป็นเทคโนโลยีโครงข่ายบริการสื่อสารร่วมแบบดิจิทัลซึ่งเป็นเทคโนโลยีบรอดแบนด์ยุคเริ่มแรกที่ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นในปี ค.ศ.1988 (พ.ศ. 2531) เพื่อให้บริการทั้งข้อมูลเสียง ภาพ และ ข้อมูลอักษร เทคโนโลยีบีไอเอสดีเอ็นได้ถูกกำหนดขึ้นเป็นมาตรฐานโดยคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านโทรเลขและโทรศัพท์สากล (International Telegraph and Telephone Consultative Committee: CCITT) และได้เปลี่ยนชื่อเป็นสหพันธ์โทรคมนาคมระหว่างประเทศ ส่วนงานมาตรฐานโทรคมนาคม (International Telecommunication Union – Telecommunications Standardization Sector: ITU-T) ได้กำหนดนิยามความหมายของคำว่าบรอดแบนด์ คือบริการหรือระบบที่มีความต้องการช่องสื่อสารข้อมูลที่สามารถรองรับอัตราการส่งข้อมูลที่สูงกว่าอัตราการส่งข้อมูลขั้นพื้นฐาน (Primary rate) โดยอัตราการส่งข้อมูลขั้นพื้นฐานตามมาตรฐานไอเอสดีเอนคือ 1.544 หรือ 2.048 เมกกะบิตต่อวินาที
             ตามมาตรฐานบีไอเอสดีเอ็น ได้กำหนดให้เครือข่ายเอทีเอ็ม (Asynchronous Transfer Mode: ATM) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแบบการสลับกลุ่มข้อมูล (Packet switching) ประเภทหนึ่งได้รับเลือกให้เป็นเทคโนโลยีหลักในการสร้างเครือข่ายบีไอเอสดีเอ็น โดยเทคโนโลยีเครือข่ายเอทีเอ็มใช้เทคนิคการส่งกลุ่มข้อมูลที่มีขนาดเล็กและมีขนาดคงที่โดยเรียกว่าเซลล์ (Cell) ทำให้สามารถส่งข้อมูลด้วยอัตราความเร็วสูงและมีค่าใช้จ่ายในการส่งข้อมูลต่ำ นอกจากนี้เครือข่ายเอทีเอ็มมีการประยุกต์ใช้เทคนิคสำหรับการควบคุมการคับคั่งของการส่งข้อมูล(Congestion control)และการควบคุมการไหลของข้อมูล (Flow control) ในเครือข่ายและสามารถเลือกใช้สื่อนำสัญญาณในการส่งข้อมูลได้เป็นอิสระ ซึ่งทำให้สามารถใช้สื่อนำสัญญาณชนิดต่างๆ เช่น สายตีเกลียวคู่ เส้นใยนำแสง
              อย่างไรก็ตาม มาตรฐานบีไอเอสดีเอ็นแม้จะได้มีการกำหนดเป็นมาตรฐาน แต่มีการใช้งานอยู่เฉพาะในระบบเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐานของผู้ให้บริการโทรคมนาคมขนาดใหญ่ เช่น
ในประเทศสหรัฐอเมริกา เนื่องจากเทคโนโลยีเครือข่ายเอทีเอ็มมีความซับซ้อนและราคาค่อนข้างสูง เมื่อเปรียบเทียบกับเทคโนโลยีอื่นที่มีความสามารถทัดเทียมหรือดีกว่า
             ข) ระบบเครือข่ายเส้นใยนำแสง (Fiber optical network) การสื่อสารข้อมูลผ่านช่องสัญญาณชนิดเส้นใยนำแสงเป็นเทคโนโลยีการแปลงสัญญาณข้อมูลดิจิทัลให้เปลี่ยนไปอยู่ในรูปแบบของสัญญาณแสงเพื่อส่งข้อมูลผ่านสื่อนำสัญญาณชนิดเส้นใยนำแสง การสื่อสารด้วยแสงมีประสิทธิภาพ ในการถ่ายโอนข้อมูลที่มีปริมาณมาก ด้วยอัตราการส่งข้อมูลที่สูงมากในระดับหลายกิกะบิตต่อวินาที ซึ่งมากกว่าสายนำสัญญาณชนิดสายตีเกลียวคู่และสายเคเบิลชนิดโคแอกเชียล (Coaxial)
             เส้นใยนำแสงมีความเหมาะสมสำหรับใช้ในการเชื่อมต่อระหว่างจุดที่ห่างกันไกลเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร และด้วยวงจรขยายสัญญาณแสงที่เรียกว่าวงจรขยายเส้นใยนำแสงแบบเออเบี่ยมโดป (Erbium-doped fiber amplifier) ทำให้สัญญาณแสงเดินทางไปได้เป็นระยะทางไกลโดยไม่ต้องลงทุนทางด้านอุปกรณ์ทวนสัญญาณจำนวนมาก ราคาของเส้นใยนำแสงในระยะเริ่มแรกที่มีการนำมาใช้งานนั้นมีราคาสูงจึงยังไม่ถูกนำไปใช้เชื่อมต่อไปยังเครื่องลูกข่ายทั่วไป ทำให้มีการติดตั้งเครือข่ายเส้นใยนำแสงจำกัดอยู่เฉพาะภายในเครือข่ายหลัก (Backbone network) ของผู้ให้บริการ (Service provider) เท่านั้น จนกระทั่งในปี พ.ศ.2551 ได้มีการเชื่อมต่อสายเส้นใยนำแสงไปยังเครื่องลูกข่ายโดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่าเอฟทีทีเฮช (Fiber-to-the-home: FTTH) เช่นประเทศญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
             เส้นใยนำแสงสามารถแบ่งออกเป็นสองชนิด ได้แก่แบบโหมดเดี่ยว (Single mode fiber) เส้นใยนำแสงชนิดนี้แกนกลางจะมีขนาด 9 ไมโครเมตร และมีการกระจาย(Disperse)ของแสงต่ำทำให้สามารถส่งข้อมูลไปได้ไกลและสามารถสื่อสารข้อมูลได้ด้วยอัตราความเร็วสูง เนื่องจาก มีความกว้างแถบความถี่มากสำหรับแบบที่สองคือแบบหลายโหมด (Multimode fiber) มีขนาดของแกนกลางที่มีขนาดใหญ่กว่าเส้นใยนำแสงแบบโหมดเดี่ยวโดยมีขนาด 50 หรือ 62.5 ไมโครเมตร ทำให้สามารถส่งแสงที่ความยาวคลื่นที่แตกต่างกันได้หลายความยาวคลื่นเส้นใยนำแสงในแบบหลายโหมดมีราคาต่ำกว่าเส้นใยนำแสงแบบโหมดเดี่ยว และมีการกระจายของแสงมากกว่าทำให้สัญญาณถูกลดทอนไปได้มาก และมีความกว้างแถบความถี่ที่กว้างน้อยกว่าเส้นใยนำแสงแบบโหมดเดี่ยว ทำให้เส้นใยนำแสงแบบหลายโหมดสามารถสื่อสารข้อมูลได้เป็นระยะทางที่น้อยกว่า
             โพรโทคอลหลายชนิดรวมไปถึงโพรโทคอลเครือข่ายเอทีเอ็มสามารถสื่อสารผ่านระบบเครือข่ายเส้นใยนำแสงได้ เนื่องจากมีการแปลงสัญญาณไฟฟ้าให้กลายเป็นสัญญาณแสง โดยในอดีตโพรโทคอลเครือข่ายที่เรียกว่า โครงข่ายเชิงแสงประสานเวลา หรือโซเน็ตและเอสดีเฮช (SONET/SDH) ได้มีการใช้งานบนเครือข่ายเส้นใยนำแสง แต่เนื่องจากโพรโทคอลดังกล่าวมีขีดจำกัดในการเพิ่มอัตราการส่งข้อมูลให้สูงขึ้นและมีค่าใช้จ่ายในการขยายเครือข่ายสูง ทำให้มีการประยุกต์ใช้เทคนิคเพื่อเพิ่มอัตราการส่งข้อมูลขึ้นด้วยวิธีการเพิ่มจำนวนความยาวคลื่นอย่างหนาแน่นเข้าไปในเส้นใยนำแสงที่เรียกว่า ดีดับบลิวดีเอ็ม (Dense Wavelength Digital Multiplexing: DWDM) ทำให้การเพิ่มอัตราการส่งข้อมูลมีความคล่องตัวมากขึ้นและมีการขยายความจุของการโอนถ่ายข้อมูลได้แทบจะไม่จำกัดในทางทฤษฎี ซึ่งขีดจำกัดขึ้นอยู่กับความสามารถของเทคโนโลยีในการสร้างแหล่งกำเนิดของแสง
             ค) สายผู้เช่าดิจิทัล หรือดีเอสแอล(Digital Subscriber Line: DSL)เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารบรอดแบนด์ที่ใช้สื่อนำสัญญาณชนิดสายตีเกลียวคู่ซึ่งถูกใช้สำหรับให้บริการโทรศัพท์มาให้บริการข้อมูลโดยการส่งข้อมูลจะใช้แถบความถี่ที่อยู่เหนือขึ้นไปจากแถบความถี่เสียงพูดของบริการโทรศัพท์โดยมีความถี่ตั้งแต่ 25 กิโลเฮิรตซ์ขึ้นไป ระบบดีเอสแอลสามารถสื่อสารข้อมูลด้วยอัตราความเร็วสูงในระดับเมกกะบิตต่อวินาทีซึ่งมากกว่าการสื่อสารข้อมูลด้วยอุปกรณ์โมเด็มปกติที่ทำงานในแถบความถี่เสียงและส่งข้อมูลได้ไม่เกิน 56 กิโลบิตต่อวินาที ทำให้ระบบดีเอสแอลเป็นที่นิยมเนื่องจากการติดตั้งระบบดีเอสแอลที่เครื่องลูกข่ายมีความสะดวก เพราะไม่จำเป็นต้องทำการติดตั้งสายนำสัญญาณใหม่
             ระบบดีแอสแอลสามารถให้บริการโทรศัพท์ปกติและการส่งข้อมูลพร้อมกันได้ในเวลาเดียวกัน เนื่องจากมีการใช้แถบความถี่ที่ใช้ในการส่งเสียงพูดแยกจากข้อมูลทำให้รองรับบริการทั้งสองประเภทพร้อมกันในเวลาเดียวกัน[๓]และเนื่องจากดีเอสเอลเป็นการเชื่อมต่อแบบจุดต่อจุด(point-to-point) โดยใช้สายตีเกลียวคู่ในการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องลูกข่ายกับระบบเครือข่ายทำให้อัตราเร็วในการส่งข้อมูลในแต่ละเครื่องลูกข่ายมีความเร็วคงที่ เทคโนโลยีดีเอสแอลมีอัตราการส่งข้อมูลจากเครื่องลูกข่ายไปยังชุมสาย (Upstream) น้อยกว่าอัตราการส่งข้อมูลจากชุมสายกลับมาที่ลูกข่าย (Downstream) ซึ่งเหมาะกับการประยุกต์ใช้กับอินเทอร์เน็ต
             เทคโนโลยีดีเอสแอลใช้เทคนิคการผสมสัญญาณที่เรียกว่าดีเอ็มที (Discrete Multitone: DMT) ซึ่งจะทำการส่งข้อมูลดิจิตอลในแบบขนานโดยใช้ช่องสัญญาณย่อย(Subchannel) ในการส่งข้อมูล ทำให้สามารถเพิ่มอัตราความเร็วในการสื่อสารข้อมูลได้สูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราความเร็ว 56 กิโลบิต ของโมเด็มแบบแอนะล็อกที่ใช้ในโทรศัพท์ (Analog Modem) อย่างไรก็ตามประสิทธิภาพหรืออัตราการส่งข้อมูลสูงสุดของระบบดีเอสแอลจะขึ้นอยู่กับระยะห่างระหว่างชุมสายโทรศัพท์กับเครื่องลูกข่ายโดยเครื่องลูกข่ายอยู่ใกล้ชุมสายโทรศัพท์มากเท่าใดก็จะทำให้เกิดการลดทอนของสัญญาณน้อยทำให้สามารถรับส่งข้อมูลได้ด้วยอัตราเร็วเต็มที่

             ง) ระบบบรอดแบนด์บนสายนำสัญญาณไฟฟ้า (Broadband over power line: BPL) สามารถให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านสายนำสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้ตามบ้านเรือนและอาคารทั่วไป ด้วยคุณสมบัติเด่นของอุปกรณ์เรื่องราคาและสะดวกต่อการใช้งาน โดยใช้โมเด็มของระบบบีพีแอลกับปลั๊กไฟมาตรฐานทั่วไปตามอาคารก็สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านเครือข่ายได้ เทคโนโลยีดังกล่าวทำให้บริษัทที่ให้บริการไฟฟ้าสามารถให้บริการเครือข่ายสำหรับใช้ในการส่งข้อมูลได้ ปัญหาที่อาจพบได้จากการใช้งานเครือข่ายบีพีแอลก็คือสัญญาณของบีพีแอลอาจไปรบกวนการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นที่ใช้สายส่งพลังงานไฟฟ้าเดียวกัน


รูปที่ 4.1 โครงสร้างพื้นฐานการเชื่อมต่อในระบบการสื่อสารผ่านสายไฟฟ้า

หลักการทำงานของบีพีแอลคล้ายคลึงกับระบบดีเอสแอลคือสัญญาณของพลังงานไฟฟ้ากระแสสลับจะอยู่ที่ช่วง 50 ถึง 60 เฮิรตซ์ แต่สัญญาณข้อมูลของบีพีแอลจะอยู่ในช่วง 30 ถึง 50 เม็กกะเฮิรตซ์ ซึ่งใช้แถบความถี่คนละช่วงความถี่ เทคนิคการผสมสัญญาณหรือมอดูเลชันในบีพีแอลนั้นใช้เทคนิคที่เรียกว่า โอเอฟดีเอ็ม (Orthogonal Frequency Division Multiplexing: OFDM) ซึ่งมีลักษณะการทำงานเช่นเดียวกันกับในระบบดีเอสแอลคือ ทำการส่งข้อมูลในลักษณะขนานในช่องสัญญาณย่อยที่ใช้ความกว้างแถบความถี่แคบโดยแต่ละช่องสัญญาณความถี่ย่อยจะไม่รบกวนกัน ปัญหาในระบบสายส่งเนื่องจากระบบสายส่งไฟฟ้ามีการใช้หม้อแปลงไฟฟ้า(Transformer)ที่แปลงแรงดันไฟฟ้าระดับปานกลางให้เป็นไฟฟ้าแรงดันต่ำที่เหมาะสมกับการใช้งานในอาคาร ในกระบวนการนี้ทำให้สัญญาณข้อมูลของบีพีแอลหายไป วิธีการแก้ไขทำได้โดยการติดตั้งอุปกรณ์ที่เรียกว่าตัวคู่ต่อ(Coupler) ซึ่งทำการนำสัญญาณข้อมูลบีพีแอลจากสายสัญญาณข้ามตัววงจรของหม้อแปลงไฟฟ้าแล้วใส่สัญญาณกลับเข้าไปในสายไฟฟ้าแรงดันต่ำตามบ้าน

5. การประยุกต์ใช้งานการสื่อสารบรอดแบนด์

              การใช้งานระบบบรอดแบนด์ถูกใช้สำหรับการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตเป็นหลัก ซึ่งลักษณะของการสื่อสารข้อมูลเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศ สื่อที่ใช้ในการส่งผ่านข้อมูลมีความหลากหลายเช่น ชนิดใช้สายนำสัญญาณหรือผ่านคลื่นวิทยุในอากาศแบบไร้สาย ซึ่งอาจมีการผสมผสานสื่อต่างๆเข้าด้วยกันในการใช้งานบรอดแบนด์เช่น ผู้ส่งข้อมูลอยู่บนเครือข่ายไร้สายในขณะที่ผู้รับข้อมูลอาจอยู่บนเครือข่ายที่ใช้สายนำสัญญาณ
             การใช้งานโดยเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตทำให้เกิดความต้องการในการถ่ายโอนข้อมูลปริมาณมากจากแหล่งข้อมูลต่างๆทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นเอกสาร ข้อมูลภาพ ข้อมูลเสียงและข้อมูลสื่อประสมต่างๆ ผ่านโปรแกรมสำหรับการท่องอินเทอร์เน็ต คือเว็บบราวเซอร์ (Web browser) หรือโปรแกรมประยุกต์อื่นๆ เช่นการใช้งานเพื่อการศึกษาโดยการส่งข้อมูลภาพการเรียนการสอนระยะไกล (Distance learning) หรือการแพทย์ระยะไกล (Telemedicine) เช่นการให้การวิเคราะห์รักษาผู้ป่วยโดยแพทย์จากระยะทางไกลจากผู้ป่วย ในขณะเดียวกันเทคโนโลยีบรอดแบนด์ได้ถูกใช้ในด้านธุรกิจ เช่นการประชุมวีดิทัศน์ระยะไกล (Video teleconferencing) ซึ่งตารางที่  5.1 ได้แสดงการเปรียบเทียบเทคโนโลยีการสื่อสารบรอดแบนด์ชนิดต่างๆพร้อมทั้งชนิดของสื่อ และอัตราการส่งข้อมูล

ตารางที่ 5.1 การเปรียบเทียบเทคโนโลยีสื่อสารบรอดแบนด์


นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีบรอดแบนด์อื่น เช่นเทคโนโลยีการสื่อสารบรอดแบนด์ผ่านดาวเทียม (Satellite broadband communications) ซึ่งเป็นเทคโนโลยี ที่สามารถให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม และเทคโนโลยีเคเบิลโมเด็ม (Cable modem) ซึ่งให้บริการข้อมูลความเร็วสูงเพื่อเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตผ่านระบบเครือข่ายของผู้ให้บริการเคเบิลทีวี โดยส่งข้อมูลความเร็วสูงผ่านสายนำสัญญาณชนิดโคแอกเชียลร่วมกับสัญญาณเคเบิลทีวี (Cable TV) ทำให้ผู้ใช้งานสามารถรับชมรายการทางบริการเคเบิลทีวีไปพร้อมกับการใช้งานบริการอินเทอร์เน็ต

6. จดหมายเหตุ (Milestones)

        เหตุการณ์ที่สำคัญของเทคโนโลยีการสื่อสารบรอดแบนด์ถูกรวบรวมและแสดงดังตารางที่ 6.1

บรรณานุกรม
การสื่อสารบรอดแบนด์( Broadband Communications )
กมล เขมะรังษี ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
วันที่ค้นข้อมูล : 16 มกราคม 2558


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น